วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยี Cloud Computing

Cloud Computing คืออะไร

loud computing เป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายๆ ด้าน แม้ช่วงนี้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรมระบบ แต่ถือว่าเป็นการตอบโจทย์ทั้งด้านความต้องการของผู้ใช้และทรัพยากรที่จำกัด เช่น ผู้ใช้งานระบบต้องการพื้นที่ในการเก็บข้อมูล ความเร็วในการประมวลผล และติดต่อลูกค้า Cloud computing จะเข้ามาทำการประมวลผลตามความต้องการทั้งเรื่องของพื้นที่ และสามารถจำกัดความเร็วในการประมวลผลให้ตรงความต้องการของผู้ใช้งานที่ร้อง ขอไป

  โดย ให้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงและแบ่งกันประมวลผล ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ร่วมประมวลผลหลายๆ เครื่องไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน แต่เชื่อมต่อกันผ่านระบบเครือ-ข่ายแบบกริด (Grid) คอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลในกลุ่มที่เราเรียกว่า Cloud นี้ อาจจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มีระบบปฏิบัติการและทรัพยากรเหมือนกัน และหน้าจอของผู้ใช้งาน (User Interface) จะแสดงผลที่รวดเร็วตามความต้องการของระบบที่ร้องขอไป โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่า เบื้องหลังนั้นระบบจะทำงานกันอย่างไร)หากมองย้อนกลับไป Cloud computing หรือการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆนั้น เคยผ่านตาเรามาบ้างหรือไม่ ให้พิจารณาที่ Google Application ที่เห็นชัดเจนที่สุดคงจะเป็น Google Earth, Google Maps และ Google Docs ซึ่ง Google Earth หากเรา เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเมื่อไร เราสามารถชมภาพถ่ายดาวเทียมผ่าน Application ตัวนี้ ถัดมา Google Maps เป็น Platform Application ที่อำนวยความสะดวกในเรื่องการค้นหาสถานที่และลักษณะทางภูมิศาสตร์ ทั้งยังมี Feature ตั้งแต่การหาเส้นทาง หาตำแหน่งพิกัดที่ตั้งขององค์กร หรือสถานที่ที่เราต้องการ สุดท้าย Google Docs เป็น Application ที่จำลองโปรแกรมด้าน Office Platform โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆ

Application ทั้งหมดทำงานผ่าน Browser ตอบโจทย์ด้าน Cloud computing ได้ชัดเจนที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาจัดสรรทรัพยากร ประหยัดงบบริษัทเพราะไม่ต้องหาซอฟต์แวร์ด้าน Office มารองรับ สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับซอฟต์แวร์ด้าน Office Platform มาตรฐานทีเดียว
หากพิจารณา Google Application ทั้ง หลายแล้ว เป็นระบบที่ใหญ่และทำงานหนักพอสมควร แต่เวลาที่ประมวลผลใช้เวลาน้อยนิด ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องติดตั้งอะไรมากมายนอกจาก Browser มาตรฐานที่เราใช้กันเป็นประจำ ผนวกกับเทคโนโลยี Web 2.0 ทำให้ระบบจัดสรรผู้ใช้งานในปริมาณมาก ไม่เกิดช่องว่างระหว่างการประมวลผล ขยายผู้ใช้งานได้เรื่อยๆ หากเกิดความต้องการในการใช้ระบบหรือที่เรียกว่า Scalability
ข้อ ดีในส่วนนี้ ทำให้แยกการทำงานของผู้ใช้ และการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ร่วมประมวลผลผ่านเครือข่าย Cloud อย่างชัดเจน การแสดงผลที่ปรากฏจึงดูเสถียรและมีประสิทธิภาพ
Cloud computing จะ เป็น Business Model ที่ยอมรับจากหลายบริษัท เพราะนอกจาก Application ที่จำลองการทำงานของซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ (Virtualized) แล้วในต่างประเทศยังมีหลากหลายองค์กรที่พยายามหรือทำการพัฒนาระบบปฏิบัติการ เสมือน หรือระบบจำลอง Operating System ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่รองรับธุรกิจ
กลุ่ม เป้าหมายที่เห็นได้ชัด คือกลุ่มธุรกิจขนาดย่อมที่มีทุนไม่มากนักในการติดตั้งระบบปฏิบัติการ ตัวอย่างการจำลองระบบปฏิบัติการ ที่สามารถยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้ดีที่สุด น่าจะเป็น Open Source ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า EyeOs ซึ่ง เป็นระบบ Web Base Operating System ซึ่งมีหน้าจอการทำงานที่ใกล้เคียงระบบปฏิบัติการหลักๆ อย่าง Microsoft Windows หรือ Linux เลยทีเดียว
โดยคุณสมบัติการทำงานของ EyeOs นั้นจำลองความสามารถทุกอย่างที่ระบบปฏิบัติการมาตรฐานมี ตั้งแต่การ Upload รูปภาพไปไว้บนหน้าจอ Desktop ของ EyeOs เล่น Game และ Chat ผ่านเครือข่ายกับกลุ่มเพื่อน สร้าง Document ผ่าน Text Editor  บนระบบ สามารถเปิด Browser ภายใน EyeOs ผ่าน Browser อีกที และที่สำคัญลูกเล่นที่น่าสนใจ คือมีระบบ FTP (File Transfer Protocol) อย่างง่ายในตัว สามารถเชื่อมต่อและ Upload ไฟล์งานที่แก้ไข โดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดโปรแกรมบนเครื่องของเรา
หากต้องการทดลองระบบปฏิบัติการผ่าน Browser ตัวนี้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://eyeos.orgหรือผู้เขียนได้ติดตั้งไว้ให้ทดสอบที่ http://space.daydev.com
ใน อนาคตอันใกล้ หาก Cloud computing เป็น ที่ยอมรับเมื่อใดแล้ว เทรนด์ของเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของเราจะเปลี่ยนไป ไม่แน่ในวันข้างหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอาจจะเหลือแค่ Browser เพียงโปรแกรมเดียว และระบบปฏิบัติการที่เราใช้งานกันนั้นอาจจะย้ายไปประมวลผลผ่านเครือข่าย Cloud เมื่อนั้นทุกอย่างที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันจะเข้าสู่คำว่า Online อย่างแท้จริง

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความหมายของ DLNA

สวัสดีครับพี่ๆ น้องๆ ชาว Droidsans ทุกคน วันนี้ผมจะมารีวิวกันแบบถึงพริกถึงขิงกันไปเลยกับเทคโนโลยี DLNA หรือ Digital Living Network Alliance นั่นเอง
มาทำความรู้จักกับ DLNA กันสักนิดก่อนนะครับว่ามันคืออะไร เจ้า DLNA หรือ  Digital Living Network Alliance ถ้าแปลตามตัวแล้วมันหมายความว่า พันธมิตรเครื่อข่ายระบบดิจิตอลภายในที่พักอาศัย งงมั๊ยหล่ะ งงหล่ะสิ ผมก็งง
ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ DLNA ก็คือ เทคโนโลยีที่รองรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีเครื่องหมาย DLNA ติดอยู่สามารถเชื่อมต่อถึงกันและทำงานร่วมกันได้โดยสร้างเป็นเครือข่ายย่อมๆ ขึ้นมาภายในบ้านเพื่อใช้แชร์ไฟล์หรือดึงไฟล์มาใช้งานภายในเครือข่ายย่อมๆ นั้นนั่นเอง เช่นการแชร์ไฟล์จากโทรศัพท์ไปแสดงบนทีวี หรือทีวีทำการรีโมทแล้วดึงไฟล์มาจากโทรศัพท์มาแสดงบนตัวเอง เป็นต้น
อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยี DLNA นั้นจะทำงานอยู่ 2 สถานะหลักๆ ที่ใช้เป็นประจำคือเป็น ผู้แชร์ไฟล์ให้คนอื่น(DMS) หรือเป็นผู้เล่นไฟล์จากเครื่องอื่น(DMP) แต่ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์นั้นสามารถที่จะอยู่ใน 2 สถานะนี้ได้ในเวลาเดียวกัน คือทั้งแชร์ให้คนอื่นและดึงคนอื่นมาเล่นได้ในเวลาเดียวกันว่างั้นเถอะ
แต่สุดท้ายแล้วตามทฤษฎีที่เค้าว่าไว้ จริงๆ แล้วเจ้า DLNA เนี่ยมันมีอยู่ 4 โหมดหลักๆ ก็คือ
Digital media servers (DMS) - ทำตัวเองเป็น Server ที่แชร์ให้ชาวบ้านมาดึงไฟล์ไป
Digital media players (DMP) - ทำตัวเองเป็น Player ที่ไปดึงไฟล์ชาวบ้านเค้ามา
Digital media controllers (DMC) - ทำตัวเองเป็นนายคน ดึงไฟล์จากเครื่องนึง แล้วไปแสดงผลอีกเครื่องนึง
Digital media renderers (DMR) - ทำตัวเป็นนักแสดงที่ดี DMS โยนอะไรไปให้หรือ DMC ดึงอะไรจาก DMS มาให้ ก็จะแสดงไปตามนั้น (โหมดที่ตัวเองกลายเป็นผู้แสดงผลภาพ, เสียงหรือวีดีโอจากเครื่องอื่น)
DLNA ไม่ใช่มีเฉพาะใน Smartphone ของ Samsung และใช้ได้เฉพาะ Smasung เท่านั้นนะครับ HTC LG Sony ก็สามารถใช้ความสามารถนี้ได้เช่นกันเพราะอุปกรณ์ต่างๆ ของผู้ผลิตเหล่านั้นก็มีเทคโนโลยี DLNA รวมอยู่ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะเรียกด้วยชื่อที่แตกต่างกันออกไป หรือถ้าเป็น Android ก็สามารถใช้งานผ่านโปรแกรม iMediaShare หรือ skifta แทนก็ได้ครับ (ขอบคุณข้อมูลจากคุณ e-a-k และคุณ wanball ครับ)
ตัวอย่างเช่น มือถือจะส่งไฟล์ไปยังทีวี ให้ทีวีแสดงผล แสดงว่ามือถือเป็น DMS และ TV เป็น DMR หรือ ทีวีทำการดึงไฟล์จากมือถือมาเพื่อเล่นบนทีวีเอง แบบนี้มือถือก็จะกลายเป็น DMS และ TV ก็จะกลายเป็น DMP แทน เป็นต้น
จบกันไปแล้วสำหรับทฤษฎี(ต้องบอกว่าพอกันทีมากกว่า) ต่อไปมาถึง Review จริงๆ สักที ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว DLNA สามารถทำได้ทั้งมือถือกับคอม, มือถือกับทีวี และคอมกับทีวี แต่ครั้งนี้เราจะมาเน้นไปที่ มือถือกับทีวี นะครับ เพราะเราจะเอามาใช้งานคู่กับ Samsung Galaxy SII และคิดว่าคงได้ใช้กับทีวีมากกว่า อุปกรณ์ที่ใช้ในการ Review ในครั้งนี้มีดังนี้ครับ
1. Samsung LED TV 42" Series 7 (เริ่มตั้งแต่ Sereis 5 แต่ไม่ทุกรุ่นนะครับ ถ้าตั้งแต่ Series 7 ขึ้นไปจะมี DLNA มาด้วยทุกรุ่นครับ)
2. Samsung Galaxy SII GT-i9100
3. Samsung Galaxy SII GT-i9100T
4. Samsung Galaxy S GT-i9000
5. Speaker Creative Gigaworks T40
6. Router TP-Link + RJ45[/P]
ขอขยายความและแจกแจงหน้าที่ของอุปกรณ์เพื่อความเข้าใจตรงกันเวลาอ่าน Review และดู Video นะครับ
- Samsung LED TV 42" Series 7 ตัวนี้ทำหน้าที่เป็น DMP และ DMR ครับ
- Samsung Galaxy Series ทั้งหมดทำหน้าที่เป็น DMS, DMC และ DMP ครับ
ก่อนอื่นใดต้องให้มือถือของเราทำการเชื่อมต่อ WiFi เข้ากับ Router ที่บ้านก่อนนะครับ รวมถึง TV ก็ต้องเสียบสายแลนที่หลังเครื่องด้วยนะ มาถึงขั้นตอนแรกกันเลย ให้เราเข้าไปที่หน้าเมนูของเราก่อน แล้วหาเจ้า All Share ให้เจอ เพราะในมือถือเรา เจ้า All Share นี่แหละครับคือโปรแกรมในการเชื่อมต่อ DLNA ในบ้านเข้ากับมือถือเรา

เมื่อหาเจอแล้วก็กดเข้าไปเลยครับ ตัวเครื่องจะทำการอ่านไฟล์ในเครื่องเราสักพักหนึ่ง โดยจะขึ้นเป็นรูปวงกลม และเมื่ออ่านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะขึ้นเป็นรูปลูกศรครับ

จากนั้นก็อยู่ที่เราเลือกแล้วว่าต้องการที่จะทำอะไร เริ่มที่อย่างแรกก่อนเลยคือการแชร์ไฟล์จากเครื่องเราเอง(ทำตัวเป็น DMS) ไปแสดงบนทีวี(ทำตัวเป็น DMR) เราก็กดเลือกโหมดที่ต้องการ ในที่นี่ผมเลือก Video นะครับ

จากนั้นก็จะปรากฎไฟล์วีดีโอในเครื่องของเราขึ้นมา อยากดูไฟล์ไหนก็จิ้มลงไปเลยครับ แล้วมันจะเด้งหน้าจอขึ้นมาถามว่าต้องการไปแสดงบน DMR ตัวไหน ก็เลือกที่ TV ไปเลยครับ แล้วรอสักครู่มันจะทำการ Buffer ไฟล์ของเรา เมื่อเสร็จแล้วเราก็จะได้ดูหนังสมใจหล่ะครับ
ถ้าเราเข้ามาในไฟล์ของเครื่องเราแล้วเราสามารถที่จะเลือก Upload ไฟล์นั้นไปยังเครื่องอื่นได้ด้วยนะครับ โดยกดค้างที่ไฟล์แล้วจะมีเมนูเด้งขึ้นมาให้เลือกระหว่าง Upload กับดูรายละเอียดไฟล์ครับ Wink

หรือถ้าต้องการที่จะดูไฟล์ของเครื่องอื่น(ทำตัวเป็น DMS) โดยการรีโมทเข้าไปเครื่องอื่นแล้วเลือกมาดูบนเครื่องของเรา(ทำตัวเป็น DMP) ก็สามารถทำได้ครับโดยการเลือกเข้าไปที่ Remote Device ในหน้าแรกของ All Share นั่นเอง

หลังจากนั้นก็เลือก Device ที่ต้องการดึงไฟล์มาเลยครับ ซึ่งเราสามารถดูรายละเอียดเครื่องนั้นพร้อม IP ได้โดยการกดค้างแล้วเลือก Detail ครับ B-)

จากนั้นก็เหมือนเดิมครับ เลือกประเทภของไฟล์ แล้วเลือกไฟล์ที่ต้องการจะดูได้เลย แต่พอกดเลือกปุ๊บคราวนี้มันจะถามเลยครับว่าจะเล่นบนเครื่องเราเอง(ทำตัวเป็น DMP) หรือจะไปเล่นบนอุปกรณ์อื่นซึ่งในที่นี้คือ TV (ตัวเครื่องเราจะกลายเป็นย DMC ทันที และ TV ก็จะกลายเป็น DMR ไปโดยปริยาย) อยากดูบนเครื่องหรือทีวีก็เลือกเอาได้เลยครับ

หรือถ้าอยาก Download ไฟล์นั้นมาเก็บไว้ที่เครื่องเราเลยก็ได้นะครับ เผื่อติดใจอยากเอาไว้ดูทีหลังก็กดค้างที่ไฟล์ที่ต้องการแล้วกดเลือก Download ครับผม Smile

ก็จบไปเรียบร้อยนะครับสำหรับการรีวิวเข้าใช้งานง่ายๆ ต่อไปก็จะมาถึง Review Video
Video Review ครั้งนี้ผมถ่ายทำด้วย iPhone4 ความละเอียดระดับ 720p โดยถ่ายด้วยตัวเองแล้วก็ Review ไปด้วย เพราะฉะนั้นภาพอาจจะสั่นไหวและไม่นิ่งนะครับ ก็ขออภัยด้วย แต่ช่วงจังหวะไหนที่บังคับให้นิ่งได้ก็พยายามให้นิ่งมากที่สุดครับ
ใน Video ผมจะพูดไว้ค่อยข้างจะละเอียดมาก จะเน้นปฏิบัติ ไม่พูดเน้นทฤษฎีนะครับ อะไรม่มีในรีวิวที่เขียนก็หาดูได้ในวีดีโอเลย ซึ่งหลักๆ แล้วจะรีวิว 3 เรื่องหลักๆ คือ ดึงไฟล์ แชร์ไฟล์ และควบคุม แต่ผมจะทำการรีวิวแบ่งย่อยให้เห็นลักษณะเด่นชัดเจนขึ้นเป็น 5 รูปแบบคือ
1. ให้ TV ทำการดึงไฟล์มาจากมือถือขึ้นมาแสดงบนตัวเครื่อง (TV เป็น DMP และมือถือเป็น DMS)
2. ให้ Galaxy S เป็น DMS แค่ตัวเดียว แล้วให้ TV แลพ Samsaung Galaxy S2 ที่เหลืออีก 2 ตัวรวมเป็น 3 ตัว ทำตัวเป็น DMP พร้อมๆ กันทั้ง 3 เครื่อง
3. ทำการแชร์ไฟล์และดึงไฟล์กันเป็นแบบลูกโซ่ ดึงไฟล์ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ คือให้ TV อยู่ในสถานะของ DMP ไปดึงไฟล์จากมือถือ และมือถือที่เหลือทั้ง 3 เครื่องก็ดึงไฟล์ต่อกันไปตามลำดับ ที่ทำแบบนี้เนื่องจากอยากจะให้เห็นการทำงานของตัว Galaxy ที่ทำทำตัวเป็น DMS และ DMP ไปในเวลาเดียวกันพร้อมกันทั้ง 3 เครื่อง
ทั้ง 3 ข้ออยู่ในวีดีโอช่วงแรก Part 1-1 และ Part 1-2 ด้านล่างนี้แล้ว เป็น 720p นะครับ ชัดสะใจ


4. ให้ตัวเครื่งมือถือทำการแชร์ข้อมูลในเครื่องตัวเองไปแสดงผลบนจอทีวี (มือถือทำตัวเป็น DMS และให้ TV ทำตัวเป็น DMR เพื่อแสดงผล)
5. สุดท้าย ให้มือถือเครื่องนึง ทำการดึงไฟล์จากมือถืออีกเครื่องนึงแล้วไปแสดงผลบน TV (มือถือเครื่องแรกทำตัวเป็น DMC มือถือตัวที่สองทำตัวเป็น DMS และ TV ทำตัวเป็น DMR)
2 ข้อสุดท้ายอยู่ในวีดีโอ Part 2 นี้แล้วจ้า 720p เหมือนกันจ้า

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับรีวิว DLNA ในครั้งนี้ ตัวอู๋เองก็ขออภัยด้วยสำหรับ
- Video ที่มือไม่นิ่งนักซึ่งอาจจะทำให้บางท่านปวดตาได้ (แต่ผมอยากให้ดูให้จบนะ )
- คำพูดทับศัพท์และการเปรียบเทียบที่อาจจะยากเกินความเข้าใจเกินไป อาจจะทำให้บางท่านต้องอ่านหลายรอบจึงจะเข้าใจ แต่ผมอยากจะอธิบายให้ละเอียดเพื่อทุกท่านจะได้เข้าใจถึงระบบ DLNA แต่ละโหมดและการทำงานอย่างแท้จริง ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนถามผมได้เลยทันทีครับ
สุดท้ายอู๋ขอขอบคุณ
-  เว็บ droidsans ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการรีวิวและสิงสู่ของอู๋ในครั้งนี้ครับ
- ข้อมูล DLNA จาก http://ikaew.com/what-is-dlna/ และ http://nb-today.blogspot.com/2010/05/dlna.html ครับ
- ขอบคุณพี่ไม, พี่เรย์และพี่โค้กที่เขี่ยวเข็ญ(ให้ทำ)จนอู๋คลอดรีวิวอันนี้ออกมาได้ครับ
- ขอบคุณเจ้จิ๊ด แม่บ้านผู้น่ารักที่คอยดูแลชาวคลับและยังคอยแก้ไขบทความให้ครับ
- และสุดท้าย ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ชาว Droidsans ทุกคนที่คอยให้กำลังใจผมจากรีวิวที่แล้วและหวังว่ารีวิวนี้คงทำให้ชาว Droidsans มีความสุขและได้ประโยชน์กันไปไม่มากก็น้อย

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

iPhone 5S (ไอโฟน 5S)


<< กด Like เพื่อติดตาม

[18-มิถุนายน-2556] เรียกได้ว่า ข่าวลือ เกี่ยวกับ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องครับ เมื่อเว็บไซต์ Moumantai ได้เผยภาพที่อ้างว่า เป็น motherboard ของ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ซึ่งนอกจากจะเผยให้เห็นชิปเซ็ทแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของกล้องถ่ายรูป และส่วนอื่นๆ ที่มีการจัดวางต่างจาก board ของ iPhone 5 เล็กน้อย
แม้ว่ารายละเอียดบน board ดังกล่าว จะยังไม่ระบุชัดเจนว่า เป็นชิป Apple A7 หรือไม่ แต่คาดว่า อาจจะเป็น Apple A7 ที่ถึงแม้ กระแสข่าวลือก่อนหน้านั้น จะเผยว่า Apple A7 จะไม่เปิดตัวภายในปีนี้ก็ตาม ส่วนรายละเอียดที่แท้จริงจะเป็นเช่นไรนั้น คงต้องรอ iPhone 5s เปิดตัว ประมาณเดือนกันยายน - ตุลาคมนี้ครับ - phonearena.com
iPhone 5S เปลี่ยนปุ่ม Home มาเป็นแบบสัมผัสแทน
Technews แหล่งข่าวรายหนึ่งในประเทศไต้หวัน ได้เผยว่า ปุ่ม Home บน iPhone 5S (ไอโฟน 5S) จะไม่ใช่ปุ่มแบบ physical อีกต่อไปครับ แต่จะเป็นปุ่ม Home แบบ capacitive หรือแบบสัมผัสแทน ซึ่งบนปุ่ม Home แบบใหม่นี้ จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วย
นอกจากนี้ ปุ่ม Home แบบ capacitive ดังกล่าว จะถูกเคลือบด้วย sapphire เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อรอยขีดข่วน ซึ่ง sapphire นี้ เป็นวัสดุเดียวกับกล้องด้านหลังตัวเครื่องบน iPhone 5 นั่นเอง ส่วนกำหนดการเปิดตัว iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ทาง Technews เผยว่า จะเป็นช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนนี้ครับ
อย่างไรก็ดี ข่าวจาก Technews ยังไม่อาจเชื่อถือได้ในตอนนี้ เนื่องจาก Technews ไม่เคยรายงานข่าวเกี่ยวกับ iPhone 5S มาก่อน จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ - macrumors.com
iPhone 5S มาพร้อมกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล รองรับ dual-shot
มีข่าวลือออกมาว่า iPhone 5S นั้น จะปรับกล้องด้านหน้า ให้มีความละเอียดขึ้นเป็น 2 ล้านพิกเซล และมาพร้อมกับ iOS 7 ครับ
แม้ว่า iOS 7 จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวเชื่อว่า ในงาน WWDC 2013 นี้ Apple คงไม่พลาดที่จะเผยโฉม iOS 7 ให้ชมกันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ยังรองรับฟีเจอร์ Dual-shot หรือการถ่ายรูป และคลิปวิดีโอพร้อมกันทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ Dual-camera บน Samsung Galaxy S4 นั่นเองครับ โดยในตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงของการทดสอบ และคาดว่า น่าจะถูกรวมเข้ากับ iOS 7 หลังจากที่การทดสอบเสร็จสมบูรณ์แล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวเผยว่า ฟีเจอร์ Dual-shot นั้น จะรองรับเฉพาะ iPhone 5S เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น iPhone รุ่นเก่า รวมไปถึง iPhone 5 หมดสิทธิ์ใช้งานฟีเจอร์นี้ แต่ข้อมูลดังกล่าว เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้นนะครับ - gsmarena.com
iPhone 5S (ไอโฟน 5S) มีสีทองให้เลือก ??
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) น่าจะเปิดตัวกันในช่วงเดือน กันยายน - ตุลาคม นี้ กันอย่างแน่นอน เนื่องจากในงาน WWDC 2013 ยังไม่มีการเผยโฉม iPhone รุ่นใหม่อย่างที่เป็นข่าว และข่าวอัพเดทล่าสุด เกี่ยวกับ iPhone 5S (ไอโฟน 5s) ในวันนี้ เมื่อเว็บไซต์ Macotakara ในประเทศญี่ปุ่น ได้เผยข้อมูลว่า iPhone 5s จะมีสีทอง ให้เลือกด้วยครับ
โดยเรื่อง iPhone 5S สีทองนั้น ก่อนหน้านั้น เคยมีข่าวว่า จะเป็น tray ใส่ซิมการ์ดที่เป็นสีทอง ในขณะที่ข่าวลือจากฝั่งแดนปลาดิบ กลับเผยว่า เป็น iPhone 5S (ไอโฟน 5S) สีทองจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัว tray อย่างเดียว และจะมีให้เลือกอีก 2 สีคือ สีเทา และสีขาว ซึ่งเป็นสีมาตรฐานของ iPhone อยู่แล้ว
ส่วนสเปค iPhone 5s นั้น คาดกันว่า น่าจะมีขนาดหน้าจอ 4 นิ้วเท่าเดิม แต่อัพเกรดสเปคให้แรงขึ้น และปรับปรุงกล้องให้มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซลครับ ส่วนชิปเซ็ท จะเป็น Apple A7 หรือไม่ ต้องติดตามครับ - phonearena.com
iPhone 5S (ไอโฟน 5S) กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ?
รายงานข่าวจากเว็บไซต์ iLounge ได้เผยข้อมูล เกี่ยวกับ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) โดยอ้างว่า แหล่งข่าวดังกล่าว เป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ครับว่า iPhone 5s (ไอโฟน 5s) นั้น จะปรับปรุงกล้องด้านหลังใหม่ จากเดิมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บน iPhone 5 (ไอโฟน 5) มาเป็นความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ส่วนเซนเซอร์นั้น ยังคงเป็นของโซนี่เหมือนเดิมครับ
นอกจากนี้ ไฟแฟลชยังได้รับการอัพเกรดใหม่ รวมไปถึงระบบประมวลผล หรือ ซีพียู ด้วยเช่นเดียวกันครับ ซึ่งโค้ดเนมของ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ตัวต้นแบบ ก็คือ N51 และ N53
ส่วนกระบวนการผลิต iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น แหล่งข่าวเชื่อว่า ยังคงไม่เดินสายการผลิตอีกนานหลายเดือน แต่คาดว่า น่าจะเปิดตัวราวๆ เดือนกรกฏาคมนี้ครับ - macrumors.com
iPhone 5S (ไอโฟน 5S) มีระบบ สแกนลายนิ้วมือ ?
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์จาก KGI Securities ที่เคยวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของ Apple ได้ถูกต้องกว่า 70% ได้ออกมาเผยว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) อาจจะมี ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint sensor) ครับ หลังจากที่ Apple ได้เข้าซื้อบริษัท AuthenTec ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี สแกนลายนิ้วมือ รวมไปถึงบริษัท Microlatch ที่ Apple เพิ่งเซ็นสัญญาเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน
นอกจากนี้ Ming-Chi Kuo ยังเผยว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) จะมีการปรับปรุงในเรื่องของ กล้อง และชิปเซ็ทครับ คาดว่า น่าจะใช้ Apple A7 เริ่มกระบวนการผลิตได้ในเดือนมีนาคมนี้ และเปิดตัวได้ราวๆ เดือนมิถุนายน - กรกฏาคมครับ - cultofmac.com
ไอโฟน 5S (iPhone 5S) เริ่มกระบวนการผลิตเดือนมีนาคม เปิดตัว มิถุนายน - กรกฏาคม
Peter Misek นักวิเคราะห์ชื่อดังจากบริษัท Jeffries ได้ออกมาเผยผลการสำรวจใหม่ครับว่า ไอโฟน 5S (iPhone 5S) นั้น จะเริ่มกระบวนการผลิตในเดือนมีนาคมนี้ และจะเปิดตัวได้ราวๆ เดือนมิถุนายน - กรกฏาคมครับ
นอกจากนี้ Peter Misek ยังได้อ้างว่า ได้เห็น ไอโฟน 5S (iPhone 5S) รุ่นต้นแบบ ทั้งหมด 2 รุ่นครับ และคาดว่า อีกรุ่นคงจะเป็น iPhone ต้นทุนต่ำ แบบเดียวกับที่ Apple เปิดตัว iPad mini (ไอแพด มินิ) นั่นเอง และไม่น่าจะใช่ iPhone ราคาถูก ที่เคยตกเป็นข่าวก่อนหน้านั้น ซึ่งสเปคของ iPhone ต้นทุนต่ำนี้ คาดว่า น่าจะมีหน้าจอขนาด 4 นิ้ว ไม่ใช่ Retina display ไม่รองรับ LTE และตัวเครื่องเป็นโพลีคาร์บอเนตครับ
สำหรับข่าวที่ Apple ลดกำลังการผลิต iPhone 5 (ไอโฟน 5) ลงนั้น ทาง Peter Misek เชื่อว่า เป็นความจริงครับ สาเหตุก็เป็นเพราะ ความต้องการซื้อ iPhone 5 (ไอโฟน 5) น้อยกว่าที่คาดการณ์ ประกอบกับ ไอโฟน 5S (iPhone 5S) จะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ทำให้ Apple เน้นไปที่การผลิต ไอโฟน 5S (iPhone 5S) บ้างแล้วนั่นเอง - macrumors.com
iPhone 5S (ไอโฟน 5S) มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ Touch-on-Display
แม้จะมี ข่าวลือ เกี่ยวกับ iPhone 5S ออกมาว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น จะมีให้เลือกหลายสีสัน เหมือนกับ iPod Touch Gen 5 และมีให้เลือกหลายขนาดหน้าจอนั้น ล่าสุด ได้มีข้อมูลใหม่ ที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอแบบใหม่อีกด้วยครับ
จริงๆ แล้ว Apple ได้เปลี่ยนเทคโนโลยีหน้าจอบน iPhone 5 (ไอโฟน 5) มาเป็นแบบ in-cell ซึ่งส่งผลให้ตัวเครื่อง iPhone 5(ไอโฟน 5) มีความบางลงกว่าเดิมอยู่แล้ว แต่หน้าจอแบบ in-cell นั้น ยังคงเกิดปัญหาบางอย่าง ในการสัมผัสบนหน้าจอครับ โดยเฉพาะเวลาที่ผู้ใช้งาน เลื่อนหน้าจอขึ้นลงแบบเร็วๆ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อการสัมผัสในบางส่วนได้ และทำให้หน้าจอค้างขึ้นมา ซึ่งในรายงานข่าว ได้เผยว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่มีชื่อว่า Touch-on-Display ครับ ซึ่งจะมาช่วยแก้ปัญหาในจุดนี้ได้เป็นอย่างด
โดยหน้าจอแบบ Touch-on-Display นั้น ผลิตโดยบริษัท Chimei Innolux และได้เริ่มส่งตัวอย่างหน้าจอ ให้กับทาง Apple ได้ทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) อาจจะใช้เทคโนโลยีหน้าจอแบบใหม่ ที่นอกจากจะช่วยลดปัญหาการกระตุกขณะใช้งานแล้ว อาจจะทำให้ตัวเครื่องบางลงได้กว่าแต่ก่อนอีกด้วยครับ - cultofmac.com
iPhone 5S (ไอโฟน 5S) มาพร้อมกับตัวเครื่องหลากสี เหมือน iPod Touch
หลังจากที่มีกระแสข่าวของ iPhone 6 (ไอโฟน 6) ออกมาเกาะกระแสของ ไอโฟนรุ่นถัดไป ออกมา แต่สุดท้าย ข่าวคราวเคลื่อนไหวของไอโฟนรุ่นถัดไป ที่นักวิเคราะห์หลายท่านเชื่อว่า น่าจะใช้ชื่อ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องครับ หลังจากที่เดือนที่ผ่านมา Peter Misek นักวิเคราะห์จากสถาบัน Jeffries ได้ออกมาเผยว่า ไอโฟนรุ่นถัดไป นั้น น่าจะมีให้เลือกถึง 6-8 สี และเปิดตัวราวๆ กลางปีนี้ ล่าสุด ได้มีนักวิเคราะห์อีกท่าน ออกมายืนยันเช่นกัน
โดยนักวิเคราะห์คนดังกล่าว มีชื่อว่า Brian White ครับ ซึ่งเค้าเชื่อว่า ไอโฟนรุ่นถัดไป นั้น จะมีทางเลือกให้กับผู้ใช้งานมากขึ้น ไม่เพียงแค่จะมีหลายสีให้เลือกเท่านั้น แต่ยังมีหลายขนาดหน้าจอให้เลือกอีกด้วย และคาดว่า น่าจะเปิดตัวประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ ซึ่งกระบวนการผลิต iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น น่าจะเริ่มได้ราวๆ เดือนมีนาคมนี้
นอกจากนี้ Brian White ยังเชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้ตัวเค้าคิดว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) น่าจะมีหลายสีนั้น เป็นเพราะ iPod Touch Gen 5 ที่เปิดตลาดด้วยหลากหลายสีสันนั่นเอง ซึ่ง Brian White เชื่อว่า นี่เป็นการชิมลางตลาดก่อนว่า จะมีกระแสตอบรับกลับมาอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าฟีตแบคดี ก็เป็นไปได้ที่ iPad รุ่นถัดไป จะมีหลายสีด้วยเช่นกันครับ
อย่างไรก็ดี คำสันนิษฐานของนักวิเคราะห์คนดังกล่าว ยังไม่สามารถ ฟันธง ได้อย่างมั่นใจว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) จะมีหลายสี มีหลายขนาดหน้าจอ และเปิดตัวกลางปีนี้หรือไม่ ซึ่งความคืบหน้าของ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั้น เร็วๆ นี้น่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมที่มากขึ้นครับ